ภัยเงียบกับความเชื่อเดิมๆเกี่ยวกับการดูแลกระดูก...รีบดูก่อนจะสาย...

ภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไทย

"โรคกระดูกพรุน"

     สถิติล่าสุดพบว่าคนไทยมากกว่า 1 ล้านคน กำลังเผชิญกับภัยเงียบ ที่ชื่อว่า “โรคกระดูกพรุน” อย่างไม่รู้ตัว และยังถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 ภัยเงียบที่คร่าชีวิตคน




     ท่านทราบหรือไม่ว่า องค์ประกอบ 2 ใน 3 ของกระดูกเป็นแร่ธาตุ โดยแร่ธาตุที่พบมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ก็คือแคลเซียม 

     
     ยิ่งอายุเข้าสู่วัยเลข 3 มวลกระดูกจะเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว เมื่อมีปัจจัยต่างๆ เกิดขึ้น เช่น หญิงในวัยหมดประจำเดือน หรือชายที่ฮอร์โมนเริ่มลดลง รวมถึงการไม่ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอ 




    ใน 1 วัน ร่างกายคนเราโดยเฉลี่ยนั้นควรได้รับแคลเซียม 800–1,000 มก. แต่เนื่องจากร่างกายของคนเราสามารถดูดซึมแคลเซียมได้เพียง 25-30 เปอร์เซ็นต์จากอาหาร ดังนั้นการจะทานแคลเซียมให้ได้ปริมาณตามที่ร่างกายต้องการก็จะทำให้ได้สารอาหารส่วนเกิน เช่นแป้งและไขมันเกินความต้องการของร่างกายตามมาโดยเฉพาะคนที่มีปัญหาสุขภาพ ดังนั้นคนจำนวนมากจึงหันมาการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพวกแคลเซียมมากขึ้น

   อย่างไรก็ดีแคลเซียมในท้องตลาดก็มีมากมายหลายชนิด หลายสูตร ซึ่งจะอยู่ในรูปเกลือแคลเซียมชนิดต่างๆ โดยเฉพาะ " แคลเซียมคาร์บอเนต" ซึ่งเป็นสารที่เกิดมาจากหินปูนและมีฤทธิ์เป็นด่าง ดังนั้นการทานแคลเซียมตัวนี้ จึงจำเป็นต้องทานหลังอาหารเพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึม และเพื่อป้องกันการตกตะกอนในลำไส้ นอกจากนี้แคลเซียมคาร์บอเนตยังมีฤทธิ์ข้างเคียงคือทำให้ท้องผูกอีกด้วย




   ต่อมาจึงมีการพัฒนาแคลเซียมในรูปแบบอื่นเช่นฟองฟู่ เพื่อช่วยในการดูดซึม และมีการเติมแร่ธาตุชนิดอื่นๆเพื่อเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแคลเซียมเป็นเกลือรูปแบบอื่นอีกด้วยทั้งนี้เพื่อช่วยแก้ปัญหาการดูดซึมและแก้ปัญหาอาการท้องผูก

   และข่าวดี ปัจจุบันได้มีการคิดค้นแคลเซียมนวัตกรรมใหม่ เรียกว่า นวัตกรรม “แคลเซียม โปร-แอบซอร์พชัน” 

   โดยมีที่มาคือ คุณ โก พิน เอิน นักโภชนาการ จากประเทศสิงคโปร์ เผยว่า ...

"....ปกติการดูดซึมแคลเซียมจะเกิดขึ้นในลำไส้เล็ก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7 ชม. โดยจะต้องมีวิตามินดีช่วย แต่วิตามินดีจะไม่เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ใหญ่ โดยในลำไส้ใหญ่จะมีจุลินทรีย์ที่ดีอาศัยอยู่ ซึ่งอาหารของจุลินทรีย์ก็คือไฟเบอร์ละลายน้ำบางชนิด เช่น ชิโครี่ ไฟเบอร์ (Prebiotic*=อาหารเลี้ยงแบคทีเรียตัวดีในลำไส้) จะถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ (Probiotics*=จุลินทรีย์ตัวดี)ในลำไส้ใหญ่ และช่วยปรับสภาพลำไส้ใหญ่ให้เป็นกรดอ่อนๆ เพื่อเอื้ออำนวยให้เหมาะต่อการดูดซึมแคลเซียม ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ยาวนานขึ้นถึง 24 ชม. และมากขึ้นเป็น 123 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้อีกด้วย 

สรุปก็คือ “แคลเซียม โปร-แอบซอร์พชัน”  เป็นเทคโนโลยีการผสานสารอาหารเพื่อปรับสภาพทางเดินอาหาร ด้วย แคลเซียมจากสาหร่ายทะเลสีแดง ชิโครี่ไฟเบอร์ และ วิตามินดี3 

ซึ่งให้ผลลัพธ์ ....

(1) ช่วยเสริมการดูดซึมแคลเซียมกลับเข้าสู่ร่างกายนานตลอด 24 ชั่วโมง 
(2) เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมมากขึ้นเป็น 123% 
(3) ช่วยป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก 14%
(4) ช่วยเพิ่มมวลกระดูก 5% ใน 3 เดือน





หมายเหตุ*  พรีไบโอติกและโปรไบโอติกทำงานร่วมกัน จะรวมเรียกว่า ซินไบโอติก (synbiotics) จะเป็นผลดีต่อร่างกายมากช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาพดีกระตุ้นการเจริญของจุลินทรีย์ภายในทางเดินอาหารให้เหมาะสม ทำให้โปรไบโอติกมีการย่อยสลายในระบบนิเวศน์จุลินทรีย์ที่มีการแข่งขันกัน ผลที่ตามมา คือ
  • กรดแล็กทิก (lactic acid) ที่จุลินทรีย์สร้างจะยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค (pathogen) และสร้างสารพิษ เช่น Clostridium perfringensSalmonella และช่วยป้องกันและลดอาการของโรคติดเชื้อ (infection) ในทางเดินอาหาร
  • ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล (cholesterol) ฟอสฟอลิพิด (phospholipid) และไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) ในเลือด โดย Lactobacillus acidophilus ซึ่งเป็นจุลินทรีย์กลุ่มบิฟิโดแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้จ ะช่วยย่อยสลายคอเลสเตอรอล และยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลผ่านผนังลำไส้
  • ช่วยการดูดซึมอาหารในลำไส้ก็ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอาการท้องผูกได้ เนื่องจากกรดอินทรีย์ที่จุลินทรีย์ บิฟิโดแบคทีเรีย (bifidobacteria) ผลิตขึ้น จะกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ และช่วยเพิ่มความชื้นของอุจจาระ ทำให้สามารถขับถ่ายได้ดีขึ้น
  • ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในระบบย่อยอาหาร
  • สามารถผลิตวิตามิน vitamin B1, vitamin B2, vitamin B6, vitamin B12, nicotinic acid และ folic acid ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาภาวะภูมิแพ้ เสริมสร้างการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันได้

      นอกจาก โรคกระดูกพรุนที่เป็นภัยเงียบแล้ว แคลเซียมยังมีประโยชน์ ต่อร่างกาย ได้แก่
- ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ
- มีส่วนช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจเป็นปกติ
- ช่วยเผาผลาญธาตุเหล็กในร่างกาย
- ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกอ่อนในเด็ก
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกน่วม
- ช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน
- ช่วยป้องกันอาการกระดูกหักง่ายในวัยสูงอายุ
- ช่วยเรื่องระบบประสาท โดยเฉพาะการส่งต่อสัญญาณประสาท โรคจากการขาดแคลเซียม

   ทีนี้เราลองมาดูบทสัมภาษณ์บางส่วนของกลุ่มคนที่มีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการดูแลกระดูก และไม่เคยมีความคิดว่าตัวเองจะมีปัญหากระดูกบางกันค่ะ ว่าเค้าดูแลตัวเองอย่างไรก่อนหน้านี้ จนเกิดปัญหากระดูกบางรวมทั้งผลลัพธ์หลังการเสริมแคลเซียมนวัตกรรมใหม่ค่ะ





หนุ่มไอที และคนทำงานออฟฟิสควรฟังไว้ค่ะ




ออกกำลังกายประจำใครว่าไม่เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนลองฟังดูค่ะ




ยิ่งวัยหมดประจำเดือนยิ่งเสี่ยง



กระดูกพรุนภัยเงียบใกล้ตัวรู้ไว้ก่อนจะสาย

        ของฝากสุดท้ายนอกจากการรับประทานแคลเซียมเสริมแล้ว การออกกำลังกายก็สำคัญ วันนี้ผึ้งเอาท่าออกกำลังกาย เพิ่มความแข็งแรงของกระดูกมาฝากด้วยนะคะ ลองเอาไปทำกันดู ได้ผลอย่างไรมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ 

1. ท่าเลก ลังค์ (Leg Lunge) ก้าวเท้าไปข้างหน้า 1 ข้าง แล้วย่อเข่าลงให้ต่ำที่สุด โดยที่เข่าไม่ต้องติดพื้น จากนั้นยืดตัวขึ้น โดยที่บ่า และหลังตรง ทำเช่นนี้ 10-15 ครั้งต่อ 1 เซ็ท แล้วสลับขา โดยทำทั้งหมด 4 เซ็ทด้วยกัน ท่านี้จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกในบริเวณหน้าขา สะโพก และหลัง 






2,ท่าจั้มปิ้ง แจ็ค (Jumping Jack) คือท่ากระโดดตบ ท่านี้จะได้ทั้งกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ต้องเกร็ง และยังได้ความแข็งแรงของกระดูกช่วงหัวไหล่ หลัง และขา โดยการกระโดดจะต้องหลังตรง ยืดแขนขึ้นให้สุด สายตามองตรงไปข้างหน้า ทำเช่นเดียวกัน 10-15 ครั้งต่อ 1 เซ็ท โดยทำทั้งหมด 4 เซ็ท






3.สควอร์ท (Squat) คือ ยืนแยกขาประมาณหัวไหล่ ปลายเท้าชี้ไปด้านข้างนิดหนึ่ง หายใจเข้าพร้อมค่อยๆ ย่อตัวลงให้ต้นขา ขนานกับพื้นหัวเข้างอ 90 องศา และหัวเข่าต้องไม่เลยปลายเท้า จากนั้นดันตัวขึ้นพร้อมกับหายใจออก ทำเช่นเดียวกัน 10-15 ครั้งต่อ 1 เซ็ท โดยทำทั้งหมด 4 เซ็ท ท่านี้นอกจากช่วยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูกแล้วยังช่วยให้ก้นงามงอนด้วยนะคะคุณสาวๆ





4.ท่าแพลงก์ (Plank) เริ่มต้นด้วยการนอนคว่ำหน้าชันเข่าและข้อศอก โดยที่ศอกจะกว้างเสมอไหล่ และหัวเข่าก็แยกออกให้ได้ระดับไหล่ หลังจากจัดท่าเริ่มต้นที่ถูกต้องแล้ว ค่อย ๆ ยกเข่าพ้นพื้นและชันศอกรับน้ำหนักตัว โดยใช้ปลายเท้ารับน้ำหนักร่วมกับข้อศอกด้วย เหยียดตัวขึ้นให้ตรง ห้ามไม่ให้เข่างอ ช่วงท้ายลำตัวจะต้องไม่ตกลงต่ำให้เสมอกับช่วงหลังไว้ จากนั้นเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขารับน้ำหนักตัวเอง พยายามรักษาท่านี้ไว้ให้นานที่สุด แรก ๆ ตั้งเป้าค้างไว้ซัก 30 วินาที หายใจเข้าออกลึก ๆ หากร่างกายแข็งแรงและอยู่ตัวขึ้น ก็สามารถเพิ่มเวลาขึ้นได้
      การออกกำลังในท่าแพลงก์จะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อหน้าอก กล้ามเนื้อต้นแขน และกล้ามเนื้อต้นขากระชับขึ้น แถมยังช่วยลดปัญหาการปวดหลังได้ด้วยนะคะ


ขอแถมอีกนิดค่ะ ใครที่อยากสูงการทานแคลเซียมช่วยได้ด้วยนะคะ แต่ควรเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยค่ะ

ปัจจัยที่ช่วยให้เด็กสูง 
1.กรรมพันธุ์ ซึ่งเป็นตัวหลัก

2.Growth hormone (GH) ซึ่งจะหยุดหลั่งเมื่อร่างกายสร้าง sex hormone ดังนั้นเด็กหญิงจึงหยุดสูงเมื่อมีประจำเดือน และเด็กชายจะหยุดสูงเมื่อายุ 20 ปี การกระตุ้นการหลั่งของ GH คือ นอนให้มากกว่า 8 ชั่วโมง และควรนอนก่อน 5 ทุ่ม นอกจากนี้การออกกำลังกายจยรู้สึกเหนื่อยจัดก็ช่วยกระตุ้นการหลั่งของ GH ได้เช่นกัน

3.โภชนาการถูกช่วงเวลา โดยเฉพาะการเสริมแคลเซียมก่อนที่กระดูกจะปิด 

พอดี ผึ้งมีเคสตัวอย่างน้องที่ทานแคลเซียมนวัตกรรมใหม่แล้วสูงมาฝากด้วยนะคะ เผื่อใครอยากให้ลูกสูง จะได้รีบเสริมกันเลยค่า 



       ใครอยากให้ลูกสูงรีบทานแคลเซียมกันเลยนะคะทานได้ตั้งแต่ 4 ขวบค่า ทานต่อเนื่องได้ทุกวันที่สำคัญ Algae calcium D ทานง่ายมากเพราะเป็นแคลเซียมผสมน้ำส้มรสชาติอร่อยค่า หมดปัญหาเด็กกินยาเม็ดยากไปเลยค่ะ





ที่สำคัญลูกใครท้องผูก ภูมิแพ้เรื้อรัง กินยาแก้อักเสบบ่อยๆ ทานเลยค่า algae Calcium ช่วยได้เยอะค่า

ข้อมูลเพิ่มเติม https://goo.gl/tgh3dh


ติดตามข่าวสารและสาระดีๆ เพื่อคำตอบของความงามสมบูรณ์แบบได้ที่ Facebook fanpage :
beautysolutionsครบเครื่องเรื่องความงาม พร้อมกด like และกดติดาวเป็นกำลังใจกันด้วยนะคะ
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line : BeeNutsawitta (Tel.092-6428-236)


Share:

0 ความคิดเห็น